Sunday, December 27, 2009

ผลวิจัยน้ำมันมะพร้าว

วันนี้จะพาเพื่อนๆๆมาดูผลผลการตรวจวิเคราะห์คุณสมบัติทางเคมี และฟิสิกส์ องค์ประกอบน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ "ภูมิดิน เนเชอรัล โปรดักส์ กันนะค่ะ  ปัจจุบันได้มีหลายบริษัทหันมาผลิตน้ำมันมะพ้าวกัน แต่อยากแนะนำของ ภูมิดัน ค่ะเพราะว่าใช้ด้วยตัวเองด้วย ของเค้าดีจริงค่ะใช้แล้วชอบ พอมาอ่านในเน็ตเจอ ภูมิดิน เค้าเขียนผลการวิจัยไว้เลยอยากนำมาให้เพื่อนๆๆที่ชอบอ่านและสนใจเรื่องน้ำมันมะพร้าว มาอ่านดูกันประดับความรู้กัน คิดว่ามีประโยชน์กับหลายคนค่ะ สนใจคลิกอ่านเวปด้านล่างได้เลยนะค่ะ

http://www.pumedin.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=30194

Wednesday, December 23, 2009

วิธีทำน้ำมันมะพร้าว

ขั้นตอนการสกัดน้ำมันมะพร้าวบริสุทธฺด้วยการหมัก

อุปกรณ์
1.ภาชนะสำหรับหมัก เช่นไห ขวดโหลแก้ว
2.ผ้าขาวบาง หรือตะแกรงลวดตาถี่
3.สายยาง สำหรับดูดน้ำมัน
4.กะละมัง
5.เนื้อมะพร้าวสดขูด 2 กิโลกรัม
6.น้ำอุ่น 2 ลิตร

วิธีทำ
1.ขูดมะพร้าวใส่กะละมัง เสร็จแล้วเติมน้ำอุ่นลงไป
2.คั้นน้ำกะทิในกะละมัง ใช้ผ้าขาวบางหรือตะแกรงกรองเอากากมะพร้าวออก
3.นำน้ำกะทิที่คั้นได้ ใส่ภาชนะสำหรับหมัก ปิดฝาทิ้งไว้ 2-3 วัน ถ้าภาชนะที่ใช้เป็นโหล แก้วจะดีมาก เพราะผู้ทำสามารถมองเห็นชั้นหรือระดับของน้ำมันอย่างชัดเจน ซึ่งจะสะดวกเวลาดูดน้ำมันออกจากภาชนะ
4.หลังจากตั้งน้ำกะทิทิ้งไว้ 2-3วัน น้ำมันมะพร้าวจะลอยตัวอยู่ด้านบนของภาชนะให้ใช้สายยางดูดออกมาแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง เสร็จแล้วจึงบรรจุขวดที่มีฝาปิด เพราะจะทำให้เก็บน้ำมันมะพร้าวได้นาน

ข้อควรระวัง  ในระว่างดูดน้ำมันออกจากภาชนะหมัก ควรพยายามอย่าให้น้ำติดมาด้วย มิฉะนั้น ต้องนำปอุ่นอีกครั้งเพื่อไล่น้ำหรือความชื้นออก

วิธีนี้ค่าใช้จ่ายน้อย เหมาะกับทำใช้ในครอบครัวและหารายได้เสริม

การทำน้ำมันมะพร้าวแบบเย็น มีดังนี้
1.คั้นกะทิ แบบไม่ต้องเติมน้ำ
2.ใส่ถุงพลาสติก นำเข้าตู้เย็น ช่องธรรมดา เป็นเวลาอย่างน้อย / ชั่งโมง
3.นำออกมาจากตู้เย็น จะพบว่า กะทิจะแยกชั้น เป็น / ชั้น ชั้นบนเป็นครีมกะทิ ชั้นล่าง เป็นน้ำเปรี้ยว ให้ทำการเจาะถุง เอาน้ำเปรี้ยวออก  แล้วมัดรูที่เจาะไว้ด้วยยางรัดของ จากนั้นเข้าตู้เย็นช่องแข็ง แช่ไว้ 36 ชมใ จนแข็งดี
4.นำออกมาตั้งพักไว้ข้างนอก รอจนกระทั่งกะทิที่แข็งตัวค่อยๆละลายและจะแยกชั้นจนเห็นชัดเจน 3 ชั้น
- ชั้นบนสุดเป็นครีม
- ชั้นกลางเป็นน้ำมันมะพร้าว
- ส่วนชั้นล่างเป็นน้ำเปรี้ยว
5.ให้ทำการตัก เอาเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำมันมะพร้าว ไปใช้ประโยชน์
6.ควรเก็บไม่ให้โดนอากาศ และแสง ควรใช้ขวดสีชา เช่นขวดลิโพ ขวดเบียร์

ที่มา : คมสัน หุตะแพทย์ "การสกัดน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ด้วยวิธีธรรมชาติ"

Monday, December 21, 2009

น้ำมันมะพร้าวป้องกันโรคเบาหวาน

น้ำมันมะพร้าวช่วยแก้ปัญหาโรคเบาหวานได้อย่างไร ?


เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเรา ต้องการน้ำตาลตลอดเวลา เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในกระบวนการเมตาบอลิสซึม เพื่อสร้างพลังงานในการดำรงชีวิต และซ่อมแซมส่วนสึกหรอ หากไม่ได้น้ำตาลอย่างเพียงพอเซลล์จะตาย และส่งผลให้เกิดโรคต่างๆได้ น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันชนิดเดียวในโลกที่สามารถแก้ปัญหาของโรคเบาหวานได้ โดยทำหน้าที่ดังนี้

เป็นอาหารให้แก่เซลล์
อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่ช่วยนำน้ำตาลจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ แม้ว่ากระแสเลือดจะมีน้ำตาลมาก แต่หากขาดอินซูลิน เซลล์ก็ไม่ได้น้ำตาล

น้ำตาลกลูโคส (Glucose) (ซึ่งเป็นน้ำตาลที่ร่างกายใช้หล่อเลี้ยงเซลล์) และกรดไขมันขนาดยาว (Long-chain fatty acids – LCFAs, C18 – 24) มีปัญหาเหมือนกันอยู่อันหนึ่ง นั่นคือไม่สามารถเข้าไปในเซลล์ได้ด้วยตนเอง เพราะมีโมเลกุลขนาดใหญ่ จำต้องมีอินซูลินเป็นตัวพาเข้า แต่น้ำมันมะพร้าวประกอบด้วยกรดไขมันขนาดกลาง (Medium-chain fatty acids – MCFAs, C 6-12) ที่มีขนาดเล็กกว่ามาก จึงเข้าไปในเซลล์ได้โดยไม่ต้องมีอินซูลินเป็นตัวพาเข้า อีกทั้งน้ำมันมะพร้าวยังสามารถใช้เป็นอาหารหล่อเลี้ยงเซลล์ได้ ส่งผลให้เซลล์มีอาหารโดยไม่ต้องพึ่งอินซูลิน ดังนั้นไม่ว่าร่างกายจะสร้างอินซูลินได้ไม่พอหรือเซลล์ไม่ตอบสนองต่ออินซูลินก็ไม่เป็นปัญหา

เมื่อเข้าไปในเซลล์ได้แล้ว MCFAs จะรวมตัวกับคารนิทีน (carnitine) ในเซลล์เพื่อนำกรดไขมันผ่านเยื่อบุสองชั้นของไมโตคอนเดรีย (mitochondria) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเตาเผาเชื้อเพลิงเพื่อให้เกิดพลังงาน ดังนั้นเซลล์จึงมีอาหารอย่างเพียงพอเพียง ทำให้เนื้อเยื่อต่างๆมีสุขภาพดี และเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่ช่วยให้เกิดโรคหลอดเลือดแดงเสื่อม ดังนั้นสรุปได้ว่าน้ำมันมะพร้าวช่วยให้ระบบไหลเวียนและสุขภาพของหัวใจของผู้ป่วยเบาหวานดีขึ้น

ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่มีอยู่แต่เดิม น้ำมันมะพร้าวไม่ใช่ตัวการไปทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัวและตีบตัน แท้ที่จริงแล้วมันช่วยเปิดหลอดเลือดให้กว้างขึ้นด้วยเสียซ้ำ นอกจากนั้นการที่เซลล์ไม่ได้รับอาหาร ทำให้ระบบประสาทถูกทำลาย (neuropathy) ไม่มีความรู้สึก จนแขนขาชา แต่เซลล์สามารถใช่น้ำมันมะพร้าวเป็นอาหารได้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาการแขนขาชา จะหลับมามีความรู้สึกอีกครั้งได้หลังจากบริโภคน้ำมันมะพร้าวเพียงไม่กี่สัปดาห์ ดังนั้นน้ำมันมะพร้าวจึงเป็นยาวิเศษชนิดเดียวที่แก้โรคระบบประสาทถูกทำลายได้โดยไม่มีอันตรายใดๆ

ผลอันหนึ่งของการเป็นโรคเบาหวานคือการขาดพลังงาน ทั้งนี้เพราะเซลล์ไม่ได้รับน้ำตาลอย่างพอเพียง เมื่อปราศจากน้ำตาลที่จะให้พลังงานแก่กิจกรรมของเซลล์ เมตาบอลิสซึมก็ช้าลง เป็นผลให้ร่างกายเหนื่อยอ่อน เซื่องซึม แต่น้ำมันมะพร้าวช่วยให้เซลล์ได้รับพลังงานอย่างพอเพียง จึงทำให้ผู้ป่วยเบาหวานกลับมามีพลังขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรใช้ในขณะที่ผู้ป่วยมีอาการคีโตซีส (ketosis)

เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างและตอบสนองต่ออินซูลิน
นอกจากจะทำให้เซลล์ได้รับอาหารอย่างเพียงพอแล้ว น้ำมันมะพร้าวยังแก้ปัญหาให้กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยการเพิ่มประสิทธิภาพของตับอ่อนในการสร้างอินซูลิน ทำให้ร่ากายมีอินซูลินอย่างเพียงพอสำหรับเบาหวานชนิดที่ 1 และเซลล์ตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น ทำให้ไม่ต้องใช้อินซูลินมากกว่าปกติ (สำหรับเบาหวานชนิดที่ 2) ทั้งนี้เพราะน้ำมันมะพร้าวทำหน้าที่ต่อไปนี้

- ช่วยกระตุ้นกระบวนการเมตาบอลิสซึม
ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะถูกแนะนำให้ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อช่วยควบคุมปริมาณของน้ำตาลในเลือด ทั้งนี้เพราะการออกกำลังกายไปช่วยเพิ่มอัตราเมตาบอลิสซึมที่ส่งผลให้เพิ่มการผลิตอินซูลินและการดูดน้ำตาลเข้าไปในเซลล์ เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า น้ำมันมะพร้าวสามารถกระตุ้นการทำงานของต่อมธัยรอยด์ จึงช่วยเพิ่มอัตราเมตาบอลิสซึม ส่งผลให้มีการเพิ่มการผลิตอินซูลิน และการดูดซึมน้ำตาลเข้าไปในเซลล์ ด้วยเหตุนี้น้ำมันมะพร้าวจึงช่วยลดความจำเป็นที่จะต้องพึ่งสารอินซูลินในการรักษาโรคเบาหวาน น้ำมันมะพร้าวจึงช่วยผู้ป่วยโรคเบาหวานไปได้อีกทางหนึ่ง

- ช่วยให้ตับอ่อน กลับมาสร้างอินซูลินได้อีก
เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวสามารถทดแทนอาหารของเซลล์ได้โดยไม่ต้องพึ่งอินซูลิน ทำให้ความต้องการเอนไซม์ที่ใช้ในการผลิตอินซูลินในตับอ่อนลดลง จึงช่วยลดความเครียดให้แก่ตับอ่อนในขณะรับประทานอาหาร ซึ่งมีการผลิตอินซูลินอย่างเต็มที่ ทำให้ตับอ่อนเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และกลับมาสร้างอินซูลินได้ดังเดิม

กรดลอริก (lauric acid, C – 12, 48-53%) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของน้ำมันมะพร้าว มีฤทธิ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพของตับอ่อนในการสร้างอินซูลิน นอกจากนั้นกรดไขมันขนาดกลางชนิดอื่นๆ ได้แก่กรดคาโปรอิก (capric acid, C – 10.7%) กรดคาปริลิก (caprylicacid, C – 8.8%) และกรดคาโปรอิก (caproic acid, C – 6.05%) ในน้ำมันมะพร้าวต่างก็ช่วยกันเร่งกระบวนการเมตาบอลิสซึม ส่งผลให้เพิ่มการสร้างอินซูลิน และการนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ (Fife 2005)

- เพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลิน
ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เซลล์ไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน น้ำมันมะพร้าวจะช่วยอาการนี้ได้ โดยการทำให้เซลล์เปิด”ประตู” ให้รับน้ำตาลเข้าไปในเซลล์ได้มากขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นที่ตับอ่อนจะต้องสร้างอินซูลินมากเกินความจำเป็น

สรุปก็คือ น้ำมันมะพร้าวช่วยให้ร่างกายของผู้ป่วยเบาหวาน กลับมาสร้างอินซูลิน และปรับเปลี่ยนให้เซลล์ตอบสนองอินซูลิน ดังนั้นน้ำมันมะพร้าวจึงแก้โรคเบาหวานทั้งสองชนิดได้ ผู้ป่วยที่มือเท้าสูญเสียความรู้สึก กลับมามีความรู้สึกได้เมื่อเติมน้ำมันมะพร้าวในอาหารเพียงไม่กี่สัปดาห์

- ช่วยปรับระดับของน้ำตาลในกระแสเลือด
มีการศึกษาพบว่า น้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดได้ (Garfinkel, et al. 1992; Han et al. 2003) ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวจะอิ่มนานขึ้น (หรือหิวช้าลง) จึงเปิดโอกาสให้น้ำตาลกระจายออกไปในกระแสเลือดอย่างช้าๆ เป็นการปรับระดับของน้ำตาลในเลือดได้โดยอัตโนมัติ อีกเหตุผลหนึ่งเกิดจากการที่น้ำมันมะพร้าวช่วยเพิ่มการสร้างอินซูลิน และการตอบสนองของเซลล์ต่ออินซูลิน มีรายงานว่า ผู้ป่วยที่เติมน้ำมันมะพร้าวลงไปในอาหาร ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงทั้งที่บริโภคอาหารที่มีน้ำตาลเข้าไป

ตามปกติ หลังจากรับประทานอาหาร ผู้ป่วยจะมีน้ำตาลในเลือดมาก ปริมาณน้ำตาลที่สูงนี้ สร้างปัญหาต่อสุขภาพ และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ผู้ป่วยจึงต้องตรวจน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ หากมีน้ำตาลในเลือดสูง จำต้องฉีดอินซูลินเพื่อลดน้ำตาล การบริโภคน้ำมันมะพร้าวจะช่วยลดการนำน้ำตาลเข้าไปในกระแสเลือด จึงช่วยปรับระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ ผู้ป่วยบางคนสามารถควบคุมและลดปริมาณน้ำตาลในเลือดโดยการเติมน้ำมันมะพร้าวในอาหาร (Fife 2006) การบริโภคน้ำมันมะพร้าว 2 – 3 ช้อนโต๊ะ จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ภายใน 30 นาที

ในกรณีที่เซลล์ไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลเข้าไปในเซลล์ไม่ได้ เซลล์จะส่งสัญญาณว่ามันกำลังขาดอาหาร เมื่อได้รับสัญญาณนี้ ตับอ่อนจึงพยายามเพิ่มการผลิตและส่งอินซูลินให้มากขึ้น ทำให้มีระดับอินซูลินในเลือดมากขึ้น การที่มีทั้งอินซูลิน และน้ำตาลในกระแสเลือดมากขึ้น ทำให้เกิดอาการที่เคยเรียกว่า Syndrome X แต่ปัจจุบัน เรียกว่า Metabolic Syndrome และปัญหาสุขภาพอื่นๆ อีกมาก รวมทั้งความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ แต่เมื่อน้ำมันมะพร้าวเข้าไปในเซลล์ได้ สัญญาณที่ส่งไปที่ตับอ่อนจะปิดลง ทำให้อินซูลินกลับสู่สภาวะปกติ อันนำไปสู่การลดภาวะเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดจากโรคเบาหวาน และปัญหาการมีน้ำตาลในเลือดสูง

Metabolic Syndrome เป็นกลุ่มอาการผิดปกติ ที่เพิ่มความเสี่ยงจากการที่เป็นโรคอ้วน และขาดการออกกำลังกาย ตลอดจนการไม่ตอบสนองต่ออินซูลินของเซลล์ ซึ่งส่งผลทำให้เกิดน้ำตาลไปคั่งในกระแสเลือด จึงไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และโรคเบาหวาน

- ช่วยใช้น้ำตาลอย่างมีประสิทธิภาพและช่วยสร้างความทนทานต่อการมีน้ำตาลสูง
มีรายงานว่า น้ำมันมะพร้าวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินและปรับปรุงการเกาะติด (binding affinity) ของอินซูลินกับเซลล์ดีกว่าน้ำมันอื่นๆ (Ginsberg, 1982 และ Yost and Eckel, 1989) จึงทำให้เซลล์ใช้ประโยชน์ของน้ำตาลอย่างมีประสิทธิภาพ (Garfinkel, et al. 1992) MCFAs ในน้ำมันมะพร้าวเป็นตัวการสำคัญในการทำหน้าที่ดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้น นักวิจัยยังพบอีกว่า น้ำมันมะพร้าวยังช่วยสร้างความทนทานต่อการมีน้ำตาลสูง (glucose tolerance)

- ช่วยลดค่า Glycemic Index ของอาหาร
อาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคส ทำให้เลือดมีระดับน้ำตาลสูงขึ้น อาหารบางอย่างสามารถทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าอาหารอื่นๆ ค่า Glycemic Index (GI) เป็นตัววัดผลของอาหารแต่ละอย่างต่อการเกิดน้ำตาลในเลือด ของหวานและอาหารพวกแป้ง เช่น ขนมปังและน้ำตาล มีค่า GI สูง จึงยกระดับน้ำตาลในเลือดได้สูง ผลไม้ที่หวานมากๆ เช่น กล้วย ลำไย ลิ้นจี่ ก็มีค่า GI สูงเช่นกัน ผู้ป่วยจำเป็นต้องจำกัดอาหารที่มีค่า GI สูงๆ ที่จะบริโภค แต่น้ำมันมะพร้าวไม่มีผลต่อค่าน้ำตาลในเลือด และมีค่า GI ต่ำมาก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเติมน้ำมันมะพร้าวลงในอาหารประเภทลูกกวาดและอาหารแป้ง มันสามารถทำให้ค่า GI ของอาหารเหล่านั้นต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น การเติมน้ำมันมะพร้าวลงในอาหารที่คุณรับประทาน จะช่วยให้ค่า GI ของอาหารจานโปรดของคุณต่ำลงได้ และช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานควบคุมระดับของน้ำตาลในเลือดได้ดี ทั้งนี้เพราะน้ำมันมะพร้าวแก้ปัญหาได้โดยปรับการทำงานในระดับของเซลล์

ที่มา:หนังสือ "น้ำมันมะพร้าวป้องกันโรคเบาหวานได้อย่างไร" โดย ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา หน้า 16 - 18

น้ำมันมะพร้าวต่อความอ้วน

        ผู้ที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ เคยสังเกตกันมั้ยชาวเกาะทะเลใต้ ที่อยู่ในตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก มีรูปร่างที่สมส่วน ไม่อ้วน แต่ก็ไม่ผอม ทั้งนี้เพราะน้ำมันมะพร้าว ช่วยลดความอ้วนได้ดีกว่าน้ำมันอื่นๆ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้


ช่วยกระตุ้นเมตาบอลิสซึม : น้ำมันมะพร้าวมี MCT (medium-chain triglycerides) ซึ่งทำให้โมเลกุลของน้ำมันมะพร้าวมีขนาดเล็กกว่าโมเลกุลของน้ำมันอื่นๆ ซึ่งมี LCT (long-chain triglycerides) เพราะฉะนั้น มันจึงถูกย่อยได้เร็วมาก เร็วจนกระทั่งร่างกายของเรา ใช้มันเป็นแหล่งของพลังงานทันที มากกว่าที่จะนำไปสะสมเป็นอาหารสำรองในรูปของไขมันที่ไปสะสมตามส่วนต่างๆของร่างกาย MCT จะถูกใช้ไปเพื่อสร้างพลังงาน คล้ายกับคาร์โบไฮเดรต ดังนั้น มันจึงไม่เคลื่อนย้ายในกระแสเลือดคล้ายไขมันอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ น้ำมันมะพร้าวจึงไม่มีส่วนในการจัดหาไขมันให้แก่เซลล์ไขมัน หรือไปเพิ่มน้ำหนักตัวให้แก่ร่างกายของผู้บริโภค ปริมาณแคลอรีที่เราบริโภคเข้าไปในรูปของอาหารจึงถูกเผาผลาญในอัตราสูงขึ้น การกระตุ้นเมตาบอลิสซึมนี้ เกิดขึ้นเป็นเวลานานกว่า 24 ชั่วโมงหลังการรับประทานอาหารที่มี MCT เป็นส่วนประกอบ ผลลัพธ์ก็คือ คุณได้พลังงานที่เพิ่มขึ้น และการเผาผลาญแคลอรีในอัตราที่เพิ่มขึ้นเป็นเวลาหลายชั่วโมง

ทำให้เกิดความร้อนสูง (thermogenesis) : การเพิ่มอัตราเมตาบอลิซึมนี้ ยังนำไปสู่การเกิดความร้อนสูง นั่นคือมีการเพิ่มอุณหภูมิของร่างกายอีกด้วย เมื่อคนที่เป็นโรคที่ทำให้มีระบบการทำงานของต่อมธัยรอยด์ต่ำ (hypothyroidism) บริโภคน้ำมันมะพร้าวเข้าไป อุณหภูมิของร่างกายจะสูงขึ้นประมาณ 1 ถึง 2 องศาเซลเซียส และจะยังคงสูงอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำมันมะพร้าวที่บริโภคเข้าไป ดังนั้น คนอ้วนเพราะต่อมธัยรอยด์ทำงานในระดับต่ำ จึงสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวกระตุ้นให้ต่อมธัยรอยด์ทำงานดีขึ้น เพื่อช่วยลดน้ำหนักได้

ช่วยชะลอความหิว : น้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยลดปริมาณรวมของการบริโภคอาหารและแคลอรี คุณจะรับประทานอาหารได้น้อยลง และรู้สึกอิ่มนานขึ้น จึงไม่รับประทานมากขึ้นในมื้อถัดไปมาเถอะมารับประทานกันเพื่อหลีกเลี่ยงความอ้วนกัน

ที่มา : หนังสือ "น้ำมันมะพร้าวลดความอ้วน" โดย ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา หน้า 15 - 18

Tuesday, December 15, 2009

น้ำมันมะพร้าวกับความงาม

น้ำมันมะพร้าวมีผลต่อความงาม

น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่ได้จากธรรมชาติปราศจากสารเคมีสังเคราะห์ใด ๆ เจือปน โดยเฉพาะยากำจัดศัตรูพืช ซึ่งมักจะมีอยู่ในน้ำมันพืชอื่น ๆ เนื่องจากกรดไขมันในน้ำมันมะพร้าวมีขนาดโมเลกุลที่เล็ก ทำให้ถูกดูดซึมเข้าไปได้ง่าย เราสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวในสภาพที่สกัดได้ตามธรรมชาติทันที โดยไม่ต้องทำให้บริสุทธิ์ ฟอกสี และกำจัดกลิ่น ดังเช่นน้ำมันพืชอื่น ๆ จึงปลอดภัยจากอันตรายจากสารเคมี  เน้ำมันมะพร้าวมีข้อดีคือ ต่อต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี ทำหน้าที่เป็นสารต่อต้านการเติมออกซิเจน โดยการป้องกันเซลล์ไม่ให้ถูกเติมออกซิเจน ได้ง่าย ๆ ประกอบด้วยสารโทโคไทรอีนอลที่มีอานุภาพสูง วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าว มีสารโทโคไทรอีนอล ซึ่งเป็นรูปของวิตามินอีที่มีคุณภาพสูงกว่าสารโทโคเฟอรอลซึ่งอยู่นวิตามินอีทั่วไป โดยเฉพาะที่มีอยู่ในเครื่องสำอางรักษาผิวถึง 40-50 เท่า ด้วยเหตุนี้ น้ำมันมะพร้าวจึงต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ น้ำมันมะพร้าวมีบทบาทต่อความงาม ในเรื่องดังต่อไปนี้

1. รูปร่างได้สัดส่วน ไม่อ้วน แต่แข็งแรง
เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวที่เราบริโภคเข้าไปสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ทันที จึงไม่มีไขมันสะสมในร่างกาย อีกทั้งยังกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานดีขึ้น จึงนำเอาไขมันที่ร่างกายสะสมไว้ก่อนหน้า ไปใช้เผาผลาญให้เกิดพลังงาน จึงช่วยลดความอ้วนได้ ดังนั้นผู้ที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำจึงไม่อ้วน (เพราะไม่มีไขมันสะสม) แต่ร่างกายก็สันทัดสมส่วน และแข็งแรง

2. ผิวสวย
การนวดหรือชโลมตัวด้วยน้ำมันมะพร้าว ช่วยให้ผิวสวย เพราะ :
2.1 ผิวดูอ่อนวัย : น้ำมันมะพร้าวที่ใช้ชโลมตัว ทั้งในรูปน้ำมันมะพร้าวสด ๆ หรือในรูปของผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าว เช่น ครีม และโลชั่นจะทำให้ผิวพรรณนุ่มไม่แตกแห้งเป็นกระ หรือฝ้า แต่ชุ่มชื้นและผิวเนียน ปราศจากริ้วรอยเหี่ยวย่น ทั้งนี้เพราะน้ำมันมะพร้าวมีวิตามินอีที่มีอานุภาพมากกว่าวิตามินอีในเครื่องสำอางช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง ป้องกันการเสื่อมโทรมของเซลล์จากขบวนการเติมออกซิเจน (Oxidation) ช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและทับถมกันจนทำให้ผิวแห้ง ขณะเดียวกันก็ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนที่จึงทำให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัย
2.2 ผิวนุ่มและเนียน : ตามปกติผิวหนังจะสูญเสียความชื้นเพราะถูกแดดและลม น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็นสารรักษาความชุ่มชื้น (Moisturizer) จึงช่วยให้ผิวหนังนุ่มและเนียน
2.3 ช่วยป้องกันและรักษาฝ้า และกระ : อนุมูลอิสระเป็นตัวการอันหนึ่งของการเกิดฝ้า(รอยดำคล้ำหรือปนสีน้ำตาลอ่อน) และกระ วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะทำหน้าที่ทำลายอนุมูลอิสระเหล่านี้ เราสามารถใช้นำมันมะพร้าวเป็นยากันแดดได้ดีอีกทั้งยังไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนยากันแดดบางชนิด และราคาก็ถูกกว่า 

3. ผมงาม
เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันพืชที่มีคุณสมบัติเป็นตัวเพิ่มความชุ่มชื้น (Moisturizer) อีกทั้งยังมีสารปฏิชีวนะ (จากโมโนลอริน) และสาร antioxidant (จากสารโทโคทรินอลในวิตามินอี) จึงมีส่วนทำให้ผมงาม จากคุณสมบัติดังต่อไปนี้ :
3.1 ช่วยปรับสภาพของผม : น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมัน hair conditioner ที่ช่วยทำให้ผมนุ่มดำเป็นเงางาม เพราะมีวิตามินอีที่ช่วยเสริมการเจริญของเส้นผม
3.2 ช่วยรักษาสุขภาพของหนังศีรษะ : น้ำมันมะพร้าวช่วยรักษาสุขภาพของหนังศีรษะทั้งนี้ เพราะน้ำมันมะพร้าวมีสารปฏิชีวนะที่คอยทำลายเชื้อโรค หนังศีรษะจึงไม่มีรังแค และมีวิตามินอีที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ หนังศีรษะจึงไม่เหี่ยวย่นแต่มีสุขภาพดี
3.3 ช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี : เส้นผมประกอบด้วยส่วนนอก (culticle) ที่ทำหน้าที่ หุ้มส่วนใน (cortex) หากส่วนนอกอยู่ในสภาพดี ไม่ฉีกขาด เส้นผมก็จะปกติ มีความยืดหยุ่น (elasticity) ทนทานต่อการบิดงอและมีความเหนียว ส่วนในซึ่งประกอบด้วยโปรตีนที่เรียกว่า เคอราทิน (keratin) ที่มีประกอบด้วยเส้นเล็ก ๆ มัดรวมกัน โปรตีนของเส้นผมจะสูญเสียหรือสลายตัวไปตามอายุขัย แต่อาจเร็วขึ้นจากการไม่รักษาผมให้ดี และการทำร้ายเส้นผม เช่น จากการดัดผม การย้อมผมด้วยน้ำยาเคมี แม้กระทั่งการหวีผมที่ใช้หวีที่คม น้ำมันมะพร้าวจึงช่วยลดปริมาณการสูญเสียของเส้นผม เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติยึดเกาะ (affinity) กับโปรตีนของเส้นผมได้ดี อีกทั้งยังมีขนาดเล็กจึงแทรกซึมเข้าไปในเส้นผมได้สะดวก ในขณะที่น้ำมันทานตะวันและน้ำมันแร่ (mineral oil) ซึ่งเป็นที่นิยมใช้เป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมน้ำมันใส่ผม ไม่ได้มีส่วนช่วยแต่อย่างใด เพราะไม่สามารถซึมเข้าไปในเส้นผมได้เหมือนน้ำมะพร้าว

Thursday, December 3, 2009

น้ำมันมะพร้าวมาแล้ว


สวัสดีคนรักสุขภาพจ๊ะช่วงนี้มีข่าวสารเกี่ยวกับสุขภาพมาเขียนกันบ้างละเราก็มีนะอยากมานำเรื่องนี้มาเขียนให้เพื่อนๆๆอ่านกันคือเรื่องของ "น้ำมันมะพร้าว "ที่เขาบอกกันว่า" ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน "นั้นคงไม่เกินความจริงไปมากนักอะไรที่ว่าดีหรือใครที่ว่าดีๆสุดยอดได้รับการยกย่องเชิดชูก็อาจกลับกลายเป็นสุดแย่อะไรที่เคยถูกมองถูกกล่าวหาว่าเป็นของไม่ดีเป็นผู้ร้ายก็อาจกลับกลายเป็นของดีหรือเป็นพระเอกขึ้นมาได้

"น้ำมันมะพร้าว"และกะทิ "ที่เรากลัวกันนักหนาในแวดวงการแพทย์โดยเฉพาะแพทย์โรคหัวใจไม่ว่าของต่างประเทศหรือของไทยเราบอกว่าอย่ากินเลยหรือกินให้น้อยๆหน่อยเพราะมันเป็นน้ำมันที่อิ่มตัวทำให้คอเลสเตอรอลสูงเป็นให้ต้นเหตุเกิดการอุดตันของหลอดเลือดทำให้หัวใจวายเพราะขาดเลือดและบอกให้เราไปรับประทานน้ำมันที่ไม่อิ่มตัวเช่นน้ำมันถั่วเหลืองน้ำมันข้าวโพดน้ำมันดอกคำฝอยแทนซึ่งน้ำมันเหล่านี้ต้องนำเข้าหรือซื้อวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตมาจากส่วนใหญ่ประเทศอเมริกาเป็น

ดังนี้จะเห็นได้ว่าไม่มีอะไรที่เคยมีมะพร้าวเป็นส่วนประกอบของอาหารในการดำเนินชีวิตรวมถึงเป็นสินค้าส่งออกต่างประสบปัญหาไปตามๆกันอย่าว่าแต่จะส่งออกเลยภายในประเทศก็ยังขายไม่ค่อยได้ต่างก็พากันหลงเชื่อและหลีกหนี "กะทิและน้ำมันมะพร้าว"ดโรงงานผลิตน้ำมันมะพร้าวต้องปิดตัวลงชาวสวนมะพร้าวขายมะพร้าวไม่ได้ไม่คุ้มค่าจ้างลิงเก็บมะพร้าวพากันโค่นต้นมะพร้าวเอาพื้นที่ไปเลี้ยงกุ้งทั้งลิงและคนเลี้ยงลิงต้องพากันตกงานหันไปแสดงโชว์การเก็บมะพร้าวให้คณะทัวร์ดูบ้างรับจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์ถ่ายทำโฆษณากระเบื้องมุงหลังคาหรือไม่ก็ไปแสดงละครลิงเพื่อรอดความอยู่

เมื่อเราเลิกกินเลิกใช้น้ำมันมะพร้าวหันไปกินไปใช้น้ำมันประเภทไม่อิ่มตัวซึ่งเป็นน้ำมันถั่วเหลืองเป็นส่วนใหญ่ปรากฎว่าได้ผล (เสีย) เกินคาดประชาชนพลเมืองพากันอ้วนพุงพลุ้ยกันเป็นแถวตามติดมาด้วยโรคหัวใจหลอดเลือดอุดตันเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวโดยเฉพาะประเทศอเมริกา (ต้นเหตุตัว) ก็ต้องรับผลกรรมนี้ไปเต็มๆก็ถือว่าสมควรแก่เหตุที่มารังแกชาวสวนมะพร้าวของพวกเรา (ว่าเพื่อนจริงมั้ยค่ะ)

และก็เป็นนักวิจัยของอเมริกาเองอีกนั่นแหละที่มาเปิดโปงความดีความงามของ "น้ำมันมะพร้าว"(ขอบคุณพระเจ้า) ยังมีนักวิจัยดีๆๆเหลืออยู่ในอเมริกา

และแล้ว "มะพร้าว" ก็กลับมาเหมือนพระเอกขี่ม้าขาวที่ได้รับชัยชนะได้รับการยกย่องเชิดชูเป็น "ให้ชีวิต (ต้นไม้แห่งชีวิต)" เพราะต้นไม้เป็นต้นไม้ที่มีคุณค่าเอนกประสงค์ใช้ประโยชน์ได้หมดตั้งแต่รากจนถึงสุดปลายยอดใช้กินใช้ทาใช้เป็นยาใช้ปลูกสร้างบ้านเรือนเครื่องใช้ไม้สอยได้สารพัดว่ามั้ย

นับแต่นี้ต่อไปเราจะได้กินได้ใช้มะพร้าวโดยเฉพาะ "น้ำมันมะพร้าวและกะทิ" กันอย่างหน้าชื่นตาบานกันเสียทีไม่ต้องหลบๆซ่อนๆกลัวใครจะว่าเราคงกินแกงเขียวหวานไก่ลอดช่องแตงไทยใส่น้ำกระทิได้อย่างสบายใจไม่มีใครมาคอยดุด่าเราให้ลำคาญใจว่าป่ะ

ได้มีการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวให้คนไทยได้เข้าใจถึงคุณค่าได้รวบรวมขอมูลผลงานวิจัยและเขียนบทความไว้มากมายขอยกเอาคุณสมบัติบางส่วนของ "น้ำมันมะพร้าว"

น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันจากพืชชนิดเดียวในโลกที่มี "กรดลอริก" อยู่ในปริมาณที่สูงมาก (48-53 เปอร์เซ็นต์) และกรดชนิดนี้เองที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติที่ดีเด่นและพิเศษกว่าน้ำมันพืชอื่นๆในการเสริมสุขภาพและความงามของมนุษย์

เมื่อร่างกายรับ "กรดลอริก" นี้เข้าจะเปลี่ยนเป็น "โมโนลอริน" ซึ่งเป็นสารตัวกับที่อยู่ในน้ำนมแม่ที่ช่วย
สร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารกในระยะ 6 เดือนแรกที่ร่างกายยังไม่สร้างระบบภูมิคุ้มกันทำให้เด็กระยะแรกเกิดไม่ค่อยเป็นโรคอะไร

โมโนลอรินเป็นสารปฏิชีวนะที่ทำลายเชื้อโรคทุกชนิดที่ดีกว่ายาปฏิชีวนะที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียเชื้อรายีสต์โปรโตซัวและไวรัสรวมทั้งเชื้อที่ก่อให้หลอดเลือดแข็งตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้น้ำมันมะพร้าวมี่ข้อดีเด่น 3 ประการ

เชื้อโรคที่ยาปฏิชีวนะทั่วไปทำลายไม่ได้เพราะมัน "หัวแข็ง" เนื่องจากมีเกราะที่เป็นไขมันห่อหุ้มเยื่อของเซลน้ำมันมะพร้าวจะทำลายเกราะนี้ลงได้เพื่อเปิดโอกาสให้โมโนลอรินเข้าไปฆ่าทีหลัง

น้ำมันมะพร้าวไม่เพิ่มการดื้อยาของเชื้อโรคดังเช่นยาปฏิชีวนะทั่วๆไปซึ่งมักจะเกิดปัญหาที่ต้องใช้ยาในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็ใช้ไม่ได้อีก

ในสารปฏิชีวนะน้ำมันมะพร้าวไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และจะถูกสร้างขึ้นในร่างกายของมนุษย์เมื่อบริโภคอาหารที่มีกรดลอริกอีกทั้งไม่เป็นอันตรายต่อแบคทีเรียที่เป็นลำไส้ประโยชน์ใน
นี่แค่พูดกันถึงของดีที่อยู่ในน้ำมันมะพร้าวเพียงตัวเดียวยังยอดเยี่ยมขนาดนี้ยังมีของดีอีกมากมายเช่นวิตามินอีที่เป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระและใช้ในการสร้างเสริมความงามได้ตลอดทั้งตัวตั้งแต่เส้นผมถึงเลยทีเดียวปลายนิ้วเท้า

ช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจเพราะน้ำมันมะพร้าวมีคอเลสเตอรอลน้อยมากน้อยกว่าน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันพืชตัวอื่นๆที่ใช้กันอยู่และวิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะช่วยลดความหนืดของเลือดขยายหลอดเลือดและป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดที่หัวใจเป็นสาเหตุของโรค

ช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญอาหารหรือให้มีขบวนการเมตาบอลิซึมสูงเกิดเป็นพลังงานสำหรับใช้ในการดำรงชีวิตอีกทั้งยังช่วยทำลายไขมันที่ร่างกายสะสมอยู่นำไปใช้เป็นพลังงานทำไห้ "ไม่อ้วนหรือสามารถลดความอ้วนถ้าอ้วนอยู่ก่อนแล้ว "ข้อนี้คงถูกใจสาวๆและสาวน้อยทั้งหลายที่มีปัญหาอยู่แน่ๆ

เมื่อเร่งขบวนการเผาผลาญอาหารน้ำตาลก็ต้องถูกกำจัดไปด้วยทำให้ร่างกายไม่สะสมน้ำตาลจึงเป็นการลดอัตราการเกิด "โรคเบาหวาน" หรือควบคุมน้ำตาลเป็นการในผู้ที่เป็นอยู่แล้ว

โรคต่อมลูกหมากโตและยังช่วยและยับยั้งโรคอีกหลายโรคเช่นโรคปวดเมื่อยโรคชราภาพก่อนวัยโรคมะเร็งผิวหนังโรคกระดูกโรคที่เกิดจากเชื้อต่างๆ

เชื่อมั้ยว่า "มะพร้าวน้ำมัน " ช่วยลดน้ำหนักเชื่อมั้ยว่า "มะพร้าวน้ำมัน"ช่วยบำรุงหนังศีรษะและยังป้องกันรังแคทำให้เส้นผมดกดำและเชื่อหรือไม่ว่า"มะพร้าวน้ำมัน"ยังช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึงลดรอยเหี่ยวย่นและรอยตีนกาอีกด้วยเห็นยังเห็นยังคงยังไม่เห็นป็นแน่หันมาใช้กันดิแล้วเพื่อนๆๆจะได้รู้กันว่าจริงมั้ย

ใช้กินได้เลยวันละ 3 - 4 ช้อนโต๊ะใส่ในกาแฟน้ำชาหรือเทใส่ช้อนเข้าปากแล้วดื่มน้ำอุ่นๆตามได้เลยไม่ยากลองดูสักเดือนสองเดือนก็จะเห็นผลว่าดีหนือไม่ (ยังช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญสารอาหาร, Detox ตับ) ได้ด้วยนะขอบอก